Sound Canvas เข้าสู่ยุคที่ 2
Sound Canvas ที่ออกมา 2 ปีที่แล้ว ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่ Roland ก็ไม่อยู่นิ่ง พัฒนาระบบ GS ให้ดีขึ้น และตอบโจทย์คนเล่นมากขึ้น
ด้วยการออก SC-55mkII มากับจำนวนซาวด์ที่เพิ่มจาก 317 เป็น 354 และจำนวน voice ที่เพิ่มจาก 24 เป็น 28 voices อาจจะดูไม่มากขึ้นเท่าไหร่
แต่ในสมัยนั้น จำนวน Voices ที่เพิ่มมาอีก 4 นี่ช่วยได้เยอะทีเดียว รวมทั้งอัพระบบเสียงจาก 16 bit เป็น 18 bit และแน่นอนนั่นทำให้ SC-55mkII ประสบความสำเร็จ
น่าจะมากกว่า Sound Canvas รุ่นเดิมซะอีก Sound Canvas ที่ออกมาในปีนี้อีกรุ่น คือ SD-35 หรือ Sound Canvas ที่เพิ่มระบบอ่านแผ่น Midi File อย่างรวดเร็วไว้ในตัว
ไม่ต้องโหลดนานเหมือนการใช้ผ่าน MC และ SD-35 ก็กลายเป็นของฮิตในเมืองไทยเช่นกัน ในส่วนของซินธ์รุ่นใหญ่นั้น ปีนี้ Roland
จับเอาซินธ์ที่ดีที่สุดในเวลานั้น JV-80 มาผสมกับ MC-50mkII แบบแทบจะเป๊ะๆ กลายร่างมาเป็น JV-1000 คีย์บอร์ดรุ่นท๊อปสุดในยุคต้น 90
ขณะเดียวกัน ก็ได้ผลิตซาวด์โมดูลสำหรับมืออาชีพ อาทิเช่น JV-880 ซาวด์ของ JV-80 และ JD-990 ซาวด์ที่ใกล้เคียง JD-800 ออกมาด้วย
ปีนี้ คีย์บอร์ดจังหวะที่ผลิตจากอิตาลี ตระกูล E เริ่มได้รับความนิยม E-16 ซึ่งเป็นคีย์บอร์ดที่ใช้ Sound Canvas เป็นหลัก และสบายกระเป๋ากว่า JV-30
แถมมีจังหวะด้วย จึงเป็นที่ถูกใจของมือคีย์บอร์ดจำนวนมาก ในการนำไปพ่วงซีเควนซ์ โดยวางชั้นบน ส่วนชั้นล่างเป็น เปียโนไฟฟ้า 76 คีย์ ตระกูล EP
ที่ทำในอิตาลีเช่นกัน อย่างเช่น EP-7II ที่ออกในปีนี้ ในส่วนของเอฟเฟคสตูดิโอ Roland ก็มีการผลิตรุ่นใหม่ๆโดยใช้เทคโนโลยี 3D
ที่พัฒนา มาจาก Roland Sound Space SDE-330 และ SRV-330 แร๊คดีเลย์และริเวิร์ปก็ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ในส่วนของ BOSS นั้น ปีนี้ก็ได้ออก แผงมัลติเอฟเฟคกึ่งสวิทเชอร์
ออกมาในชื่อ ME-X ซึ่งเป็นการนำเอฟเฟค Digital ทั้งหมด 6 ชนิดมาลงในแผง และมีช่องให้ต่อเอฟเฟค Analog อีก 3 ก้อน ทั้งหมด
สามารถตั้งโปรแกรมได้ เป็นคอนเซปต์ที่แปลกใหม่ ไม่เคยมีมาก่อนในยุคนั้น คอนเซปต์นี้ ถูกพัฒนาเป็น MS-3 ในเวลาต่อมา
ปีนี้ อาจจะเงียบไปบ้าง เพราะปีต่อไป Roland จะออกชุดใหญ๋
Previous
Next